กรุณาใช้ตัวระบุนี้เพื่ออ้างอิงหรือเชื่อมต่อรายการนี้:
http://ir.sru.ac.th/handle/123456789/1154ระเบียนเมทาดาทาแบบเต็ม
| ฟิลด์ DC | ค่า | ภาษา |
|---|---|---|
| dc.contributor.author | พรอุมา วงศ์เจริญ | en_US |
| dc.date.accessioned | 2025-10-17T08:51:58Z | - |
| dc.date.available | 2025-10-17T08:51:58Z | - |
| dc.date.issued | 2568-09-25 | - |
| dc.identifier.uri | http://ir.sru.ac.th/handle/123456789/1154 | - |
| dc.description.abstract | การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาถึงแนวคิดการสอบสวนชันสูตรพลิกศพ ประวัติ การชันสูตรพลิกศพในประเทศไทย ระบบการชันสูตรพลิกศพ 2) ศึกษาปัญหาการบังคับใช้ประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเกี่ยวกับการชันสูตรพลิกศพ 3) เปรียบเทียบและเสนอแนวทางแก้ไข การชันสูตรพลิกศพคดีอาญาในประเทศไทยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ แพทย์ นิติเวช พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ และพนักงานฝ่ายปกครอง เลือกแบบเจาะจง จำนวน 4 คน เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์เอกสารและ การสัมภาษณ์เชิงลึก ผลการศึกษา พบว่า จากการศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับการสอบสวนการชันสูตรพลิกศพ การสอบสวน คือการรวบรวม พยานหลักฐาน โดยพนักงานสอบสวนได้กระทำไปเกี่ยวกับความผิดที่กล่าวหาเพื่อทำให้ทราบ ข้อเท็จจริงหรือเพื่อพิสูจน์ความผิดนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษตามกระบวนยุติธรรมต่อไปโดยมี วัตถุประสงค์ให้ทราบว่ามีการกระทำความผิดอาญาหรือไม่ เพราะหากมิใช่ความผิดทางอาญาพนักงาน สอบสวนไม่มีอำนาจในการสอบสวน และเพื่อให้ทราบว่าใครเป็นผู้กระทำ และเพื่อนำตัวผู้กระทำ ความผิดมาลงโทษ ประวัติการชันสูตรพลิกศพในคดีอาญาของประเทศไทยพบว่าสมัยกรุงสุโขทัยไม่ได้ มีการบัญญัติกฎเกี่ยวกับการชันสูตรพลิกศพไว้อย่างชัดเจน จนกระทั่ง รัชสมัยรัชกาลที่ 1 พ.ศ. 2347 ได้มีการตรากฎหมายตราสามดวงขึ้นปรากฎในหมวดพระไอยการลักษณะวิวาทด่าตีกัน โดยสรุป เนื้อหาว่าหากมีการตีฟันแทงกันถึงตายให้นายพะทำรงไปดูศพ และถ้าผู้ร้ายตายลงให้เวรมหาดไทย กลาโหม กรมวัง ไปดูศพ และถ้านักโทษตายโดยมิทราบเหตุแน่ แพทย์ใหญ่ต้องมาตรวจศพให้ทราบ เหตุ ถ้าเป็นเรื่องที่สงสัยให้ผ่าศพนั้นตามวิธีแพทย์ศาสตร์ก่อนแล้วจึงเอาไปฝังหรือเผา จนกระทั่ง เมื่อปี พ.ศ. 2457 ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติการชันสูตรพลิกศพ เป็นการเฉพาะจนกระทั่ง รัชสมัยรัชกาลที่ 1 พ.ศ. 2347 ได้มีการตรากฎหมายตราสามดวงขึ้นปรากฎในหมวดพระไอยการลักษณะวิวาท ด่าตีกัน โดยสรุปเนื้อหาว่าหากมีการตีฟันแทงกันถึงตายให้นายพะทำรงไปดูศพ และถ้าผู้ร้ายตายลงให้ เวรมหาดไทย กลาโหม กรมวัง ไปดูศพ และถ้านักโทษตายโดยมิทราบเหตุแน่ แพทย์ใหญ่ต้องมาตรวจ ศพให้ทราบเหตุ ถ้าเป็นเรื่องที่สงสัยให้ผ่าศพนั้นตามวิธีแพทย์ศาสตร์ก่อนแล้วจึงเอาไปฝังหรือเผา จนกระทั่ง เมื่อปี พ.ศ. 2457 ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติการชันสูตรพลิกศพ เป็นการเฉพาะ จนถึงปัจจุบันได้มีการแก้ไขในบางมาตรา กว่า 6 ครั้งแต่ก็ยังพบว่าการชันสูตรพลิกศพยังเกิดปัญหาแต่ ก็ยังพบว่าการชันสูตรพลิกศพยังเกิดปัญหาและพบว่าระบบชันสูตรพลิกศพที่สำคัญและมีการ ดำเนินการในปัจจุบันได้แก่ ระบบแพทย์สอบสวน ระบบตำรวจ ระบบโคโรเนอร์ และ ระบบศาล แต่ก็ ยังมีระบบอื่นด้วยแต่ไม่เป็นที่นิยม ทั้งนี้การใช้ระบบการชันสูตรพลิกศพแต่ละประเทศขึ้นอยู่กับ กฎหมายของแต่ละประเทศ และบริบทภายในประเทศของตนว่าจะใช้ระบบการชันสูตรพลิกศพระบบใดเหมาะสม และพบว่าสภาพปัญหาการชันสูตรพลิกศพในประเทศไทยนั้นเริ่มตั้งแต่โครงการในเชิง ระบบ คือไม่มีองค์กรรับผิดชอบหลัก ปัจจุบันกำหนดให้มีบุคลากรที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยงาน ได้แก่ พนักงานสอบสวน แพทย์ พนักงานอัยการ และพนักงานฝ่ายปกครอง จึงทำให้การทำงานเกิดปัญหา ในทางปฏิบัติหลายประการดังนี้ 1. พนักงานสอบสวนใช้ดุลยพินิจวินิจฉัยเหตุการตายที่กว้างเกินไป อาจทำให้การตายโดยผิดธรรมชาติถูกตัดออกจากกระบวนการชันสูตรพลิกศพตั้งแต่ต้น 2.กำหนดให้ แพทย์อื่นซึ่งมิใช่แพทย์นิติเวชเข้าร่วมชันสูตรพลิกศพ 3. สิทธิการแจ้งให้ญาติผู้เสียชีวิตทราบเหตุการ ตาย แต่ไม่มีสิทธิเข้าร่วมชันสูตรพลิกศพ 4.การขาดแคลนแพทย์ทางนิติเวช 5.บุคลากรผู้ปฏิบัติหน้าที่ ขาดความรู้ ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ 6.ผู้ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปในสถานที่เกิดเหตุ เสนอแนวทางแก้ไข 1. ควรปรับโครงสร้างระบบชันสูตรพลิกศพ โดยให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นองค์กรผู้รับผิดชอบ หลัก 2. เพิ่มเหตุการณ์ตายผิดธรรมชาติอื่น ๆ จากที่กฎหมายกำหนด 3. จัดให้มีทีมผู้ช่วยบุคลากรทาง การแพทย์ 4. กำหนดเหตุแพทย์นิติเวชต้องไปยังสถานที่พบศพ ให้บุคคลที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติ หน้าที่เท่านั้นและห้ามบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปในบริเวณที่พบศพ 5. ให้ญาติผู้ตายมีสิทธิการเข้าร่วม ชันสูตรพลิกศพ 6. ควรมีการฝึกอบรมความรู้ให้แก่บุคลากรที่ปฏิบัติหน้าที่และกำหนดประสบการณ์ใน การปฏิบัติหน้าอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 5 ปี | en_US |
| dc.description.sponsorship | The purposes of this research were 1) to study the concept of autopsy investigation. History of autopsy in Thailand autopsy system 2) To study the problem of enforcement of the Criminal Procedure Code concerning autopsy. 3) Compare and propose solutions for autopsy of criminal cases in Thailand as a qualitative research. Key informants are forensic physicians, investigators prosecutor and administrative staff Four people were selected by purposive method. Research tools were in-depth interviews. Document analysis and in-depth interviews. The study found that Based on the study of the concept of autopsy investigation, an investigation is the collection of evidence. In which the investigating officer has acted in relation to the alleged offense in order to know the facts or to prove the offense, bring the offender to be punished according to the judicial process further with the objective of knowing whether a criminal offense has been committed or not. Because if it's not a criminal offense, the investigating officer has no power to investigate. and to know who did it and to bring the offenders to justice. The history of autopsies in criminal cases in Thailand found that during the Sukhothai period, there was no clear rule for autopsy. Until the reign of King Rama I, 1804, the three seals law was enacted to appear in the Phra Iyakarn category, quarreling and scolding each other. In summary, the content is that if there is a stabbing to death, Mr. Phathammarong will go and see the corpse. And if the culprit dies, let the Interior Department, Defense Department, Department of the Palace go to see the body and if the prisoner dies without knowing the cause The chief physician had to come and examine the body to find out the cause. If in doubt, the body must be dissected according to the medical method first and then buried or cremated until the year 1914 when the Autopsy Act was promulgated. specifically until In the reign of King Rama I, 1804, a law was enacted with three seals appearing in the Phra Iyakarn category, quarreling and scolding each other. In summary, the content is that if there is a stabbing to death, Mr. Phathammarong will go and see the corpse. And if the culprit dies, let the Interior Department, Defense Department, Department of the Palace go to see the body and if the prisoner dies without knowing the cause The chief physician had to come and examine the body to find out the cause. If it is in doubt, the body must be dissected according to the medical method first and then buried or cremated until the year 1914 when the Autopsy Act was specifically promulgated. Until now, some sections have been amended more than 6 times. But it still found that the autopsy still had problems. The medical investigation system, the police system, the coronar system, and the court system, but there are other systems as well, but they are not popular. However, the use of the autopsy system in each country depends on the laws of each country. and their own domestic context as to which autopsy system is appropriate. and found that the autopsy problem in Thailand started from the systematic project is that there is no main responsible organization. At present, there are personnel involved in many agencies, including investigators, doctors, prosecutors. and administrative staff As a result, the work has many practical problems as follows: 1. The investigator uses discretion to diagnose the cause of death that is too wide. Unnatural deaths may be excluded from the autopsy process early. 2.Assign other physicians who are not forensic physicians to attend the autopsy. 3. The right to notify the relatives of the deceased of the death. but has no right to attend the autopsy 4. The shortage of forensic medical doctors 5. Personnel on duty lack knowledge. expertise and experience 6. An unrelated person enters the crime scene. Proposed solutions 1. The autopsy system should be restructured. The Ministry of Public Health is the main responsible organization. 2. Add another unnatural death event. from what is required by law 3. Organize a team of assistant medical personnel. 4. Determine the reason for the forensic physician to go to the place where the body was found. Only the persons involved in the performance of their duties are allowed, and unrelated persons are prohibited from entering the area where the body was found. 5. Relatives of the deceased have the right to attend the autopsy. 6. There should be training and knowledge for personnel who perform their duties and determine their experience in performing their duties at least 5 years. | en_US |
| dc.language.iso | th | en_US |
| dc.publisher | มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี | en_US |
| dc.subject | การปฏิบัติหน้าที่ | en_US |
| dc.subject | บุคลากร | en_US |
| dc.subject | การชันสูตรพลิกศพ | en_US |
| dc.subject | คดีอาญา | en_US |
| dc.title | ปัญหาการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรในการชันสูตรพลิกศพในคดีอาญา | en_US |
| dc.title.alternative | Problems of official’s performing duties of autopsy in criminal case. | en_US |
| dc.type | Research Report | en_US |
| ปรากฏในกลุ่มข้อมูล: | DI: Research Reports | |
แฟ้มในรายการข้อมูลนี้:
| แฟ้ม | รายละเอียด | ขนาด | รูปแบบ | |
|---|---|---|---|---|
| Pornuma.pdf | 1.43 MB | Adobe PDF | ดู/เปิด |
รายการทั้งหมดในระบบคิดีได้รับการคุ้มครองลิขสิทธิ์ มีการสงวนสิทธิ์เว้นแต่ที่ระบุไว้เป็นอื่น